นักวิเคราะห์ชี้ว่า การระดมยิงจรวดกว่าร้อยลูกของชาติตะวันตกเมื่อวันเสาร์ (14 เม.ย.61) ไม่ได้บั่นทอนกำลังรบของรัฐบาลซีเรีย ขณะกองทัพของประธานาธิบดีอัสซาดยังคงรุกคืบชิงเมืองคืนจากฝ่ายกบฏ
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 เมษายน 2561 สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้ประสานการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายที่ระบุว่าเป็นโรงงานผลิตอาวุธเคมีในซีเรียหลังจากกล่าวหาว่ากองทัพของประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด ใช้อาวุธเคมีต่อฝ่ายกบฏเมื่อวันที่7 เมษายน ซึ่งทำให้พลเรือนเสียชีวิต 75 คน
ชาติตะวันตกทั้ง 3 บอกว่า การโจมตีโรงงานเคมี 3 แห่งของซีเรีย ถือเป็นการเตือนไม่ให้อัสซาดใช้อาวุธเคมีอีก ทั้งนี้ กำลังทางเรือและทางอากาศของชาติพันธมิตรได้ยิงจรวดรวมทั้งสิ้น 105 ลูก
อย่างไรก็ตาม สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เน้นว่า การโจมตีดังกล่าวไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีอัสซาด หรือแทรกแซงในสงครามกลางเมืองของซีเรีย
สหรัฐฯ บอกว่า การโจมตีเที่ยวนี้เป็นปฏิบัติการอย่างจำกัด ไม่มีการยิงไปยังที่ตั้งทางทหารของรัสเซีย ซึ่งหนุนหลังรัฐบาลอัสซาดแต่อย่างใด เวลานี้ยังไม่มีแผนจะโจมตีเพิ่มเติม และบอกด้วยว่า รัสเซียไม่ได้ยิงจรวดชนิดภาคพื้นสู่อากาศตอบโต้การโจมตีดังที่เคยขู่ไว้
สื่อของทางการซีเรียรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บจากการโจมตี 3 ราย แต่รัสเซียระบุว่า ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่สหรัฐระบุว่า เท่าที่ทราบ ไม่มีพลเรือนบาดเจ็บ
นักวิเคราะห์มองว่า ปฏิบัติการของชาติพันธมิตรตะวันตกครั้งนี้ มุ่งเป้าหมายในทางการเมืองมากกว่าด้านการทหาร ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ส่งผลต่อการสู้รบระหว่างรัฐบาลซีเรียกับฝ่ายกบฏ หรือส่งผลกระทบต่อฐานทัพอากาศและท่าเรือของรัสเซียในซีเรีย
ขณะนี้ รัฐบาลซีเรียช่วงชิงพื้นที่คืนจากฝ่ายกบฏได้ครึ่งค่อนประเทศแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน
นักวิเคราะห์บอกด้วยว่า การโจมตีซีเรียเมื่อวันเสาร์คงไม่เพิ่มความขัดแย้งระหว่างบรรดาชาติมหาอำนาจที่เข้าไปสนับสนุนคู่สงครามแต่ละฝ่าย แต่อาจกระตุ้นให้รัฐบาลซีเรียเล่นงานอย่างหนักมือยิ่งขึ้นต่อฝ่ายกบฏกับกองกำลังชาวเคิร์ดที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนทางตอนเหนือของซีเรีย
เมื่อวันอาทิตย์ 'นิกกิ เฮลีย์' เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ บอกว่า 'สตีเฟน มานูชิน' รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อบรรดาบริษัทของรัสเซียที่ช่วยซีเรียในการผลิตและใช้งานอาวุธเคมี โดยอาจมีการประกาศในวันจันทร์