แจ็ก หม่า ชี้ สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ อาจยืดเยื้อนาน 20 ปี หลังผู้นำสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ ซึ่งครอบคลุมสินค้าจีนรวมมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมขู่ว่าถ้าจีนจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ก็จะดำเนินการขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบที่สามต่อไป
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่มขีดความรุนแรงของสงครามการค้าที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องระหว่างจีนและสหรัฐฯ ด้วยการประกาศให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนระลอกใหม่ โดยสินค้าจีนกว่า 5,000 รายการ รวมมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ จะถูกขึ้นภาษีนำเข้า 10 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 24 กันยายนนี้ และจะเพิ่มเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ภายในช่วงต้นปีหน้า นับว่าเป็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปแล้วถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.62 ล้านล้านบาท โดยทรัมป์ได้บอกถึงสาเหตุการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่ว่า ยังคงเป็นการตอบโต้จีนที่ทำการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การออกข้อบังคับว่านักลงทุนสหรัฐฯ จะต้องร่วมลงทุนกับบริษัทจีน หรือการใช้มาตรการหนุนสินค้าของตัวเอง
สินค้าจีนที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีครั้งนี้ คือเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย กระเป๋า และข้าวสาร แต่สินค้าเทคโนโลยี อย่างสมาร์ตวอตช์ของแอปเปิล หรือสายรัดข้อมือเพื่อการออกกำลังกายของฟิตบิท ได้รับการยกเว้นไม่ถูกขึ้นภาษี โดยทรัมป์ขอให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้ากับสหรัฐฯ ใหม่ให้มีความยุติธรรมมากขึ้น และหากจีนออกมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม สหรัฐฯ ก็จะดำเนินการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนต่อในรอบที่ 3 ซึ่งจะครอบคลุมสินค้าจีนมูลค่ารวมกว่า 267,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 8.7 ล้านล้านบาท
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาประณามการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ว่าเป็นมาตรการที่ยอมรับไม่ได้ โดยระบุว่าพฤติกรรมของสหรัฐฯ กำลังคุกคามจีน คุกคามทั่วโลก และกำลังทำลายตนเอง และรัฐบาลจีนจะตอบโต้การกระทำดังกล่าวด้วยมาตรการที่เหมาะสมและจำเป็น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนจีน
ด้านนายแจ็ก หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัทอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากจีน ออกมาแสดงความเห็นในฐานะนักลงทุนและชาวจีนคนหนึ่ง บนเวทีการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทอาลีบาบาประจำปีนี้ โดยเขาระบุว่าความเคลื่อนไหวของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม และความเลวร้ายทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบในระดับนานาชาตินี้จะยืดเยื้อกินเวลายาวนาน ไม่ใช่เพียง 20 วัน 20 เดือน แต่อาจจะนานถึง 20 ปีเลยก็เป็นได้
การคาดการณ์ของนายหม่าชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจากการสั่งขึ้นภาษีของสินค้าจีนที่ส่งเข้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่ามหาศาลนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อกรณีนี้เกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ครองขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก นั่นหมายความว่า ความตึงเครียดจะดำเนินต่อไปและสร้างปัญหาทางการค้าไม่หยุด แม้ว่านายทรัมป์จะพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ตาม หรือแม้ว่านายทรัมป์อาจครองตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไปอีก 1 สมัย หรือ 4 ปีเต็ม ปัญหาที่เขาสร้างไว้ก็จะยังคงอยู่ไปอีกเป็น 10 ปี
นายหม่ากล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การประกาศการเปลี่ยนผ่านอำนาจของผู้นำอาลีบาบาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบ้าง แต่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี้ได้สงผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตทางธุรกิจของอาลีบาบา ซึ่งนายหม่าชี้ว่าในระยะสั้นนี้ ภาคธุรกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ จำนวนมากจะประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจและสร้างผลกำไร ในขณะที่ในระยะยาว ภาคธุรกิจของจีนที่มีสหรัฐฯ เป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่ง จะต้องหันไปหาตลาดในต่างประเทศแทน เพราะทนกับสภาพการจัดเก็บภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากไม่ไหวอีกต่อไป
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นของอาลีบาบาปิดตลาดด้วยราคาที่ต่ำลง 3.5 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาถึง 25 เปอร์เซ็นต์ โดยในเดือนมิถุนายน 2018 นั้นเป็นเดือนที่มูลค่าหุ้นอาลีบาบาแตะราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งนายหม่าระบุว่า จีนคือผู้ถูกกระทำในสงครามการค้าครั้งนี้ แต่ก็ยังวิจารณ์ไปยังรัฐบาลจีนด้วยว่ากฎหมายหลายอย่างของประเทศจีนก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น ซึ่งก็อยากจะแนะนำผู้นำของประเทศที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ว่า จีนควรจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการใช้กรณีการถูกขึ้นภาษีครั้งนี้ให้เป็นโอกาสที่ประเทศจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายไปในทางที่ดีขึ้น
วิธีที่นายหม่าเสนอก็คือ จีนต้องเปิดตลาดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้น พร้อมทั้งได้กล่าวให้คำมั่นกับบรรดาผู้ถือหุ้นอีกครั้งว่านายแดเนียล จาง ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของอาลีบาบาคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่เค้าวางใจที่จะฝากบริษัทไว้ด้วย