รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 11 สิงหาคม 2563
เอาที่สบายใจจ้ะ! โฆษก “ปชป.” ขอยืนตรงข้ามม็อบนักศึกษา ถ้าปราศรัยก้าวล่วงสถาบัน (พูดแบบนี้..แอดว่า เลือกตั้งคราวหน้า จะเหลือกี่ที่นั่งกันเนี่ย!) “อ.วิโรจน์”ช่วยเตือนความจำ ปาแฟ้ม ลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ภาพจำที่ลืมไม่ลง ก็สร้างความไม่สบายใจให้คนไทยเช่นกัน...จำกันไว้ให้แม่น ๆ จ้า!
ส่วนที่นักวิเคราะห์ Talking Thailand วิจารณ์ยับ คือ “พรรคกล้า” ถึงเวลาก็เท!
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ และไม่สบายใจกับการที่มีบางส่วนแสดงออกในการชุมนุม การใช้เสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญนั้น สามารถทำได้แต่ไม่มีสิทธิ์ใช้เสรีภาพดังกล่าวกระทำการที่ผิดกฎหมาย การปราศรัยในลักษณะก้าวล่วงสถาบัน ไม่ควรเกิดขึ้น คนทั้งประเทศมองออกว่าผู้ชุมนุมต้องการสื่อสารเรื่องอะไร จึงขอเรียกร้องให้หยุดดำเนินการในลักษณะก้าวล่วงสถาบัน ส่วนจะชุมนุมเรียกร้องในเรื่องอื่น ๆ ก็ว่ากันไป การกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนาว่าการชุมนุมท้ายที่สุดมีเจตนาเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายใด
"ตัวผมนั้นเชื่อและศรัทธาในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าก้าวล่วงสถาบันก็ต้องถือว่าเราอยู่คนละข้างกัน" และขอเรียกร้องให้การชุมนุมอยู่ในกรอบของกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องรักษากฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ประเทศมีบทเรียนมากพอแล้ว หลีกเลี่ยงการก้าวล่วง ไม่จาบจ้วงสถาบันฯ ชุมนุมภายใต้กรอบกฎหมาย
ในฐานะหัวหน้า พรรคกล้า ได้ย้ำกับเพื่อนร่วมพรรคอยู่เสมอว่า.. พรรคกล้าต้องไม่มีส่วนในการเพิ่มความขัดแย้งในสังคม / ทุกครั้งที่แสดงออก ต้องเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์และหาทางออกต่อเหตุการณ์นั้นๆ โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง เราจะไม่ยอมตกอยู่ในวังวนเดิมของการเมืองแบบเก่า การเมืองที่สร้างแต่ความขัดแย้ง แบ่งแยกผู้คน และสร้างความรุนแรง
เราตระหนักดีกว่า การชุมนุมเป็นสิทธิ ความเคารพศรัทธาก็เป็นสิทธิ เราเคารพในความเห็นต่าง และเราต้องไม่ละเมิดสิทธิกันและกัน สิทธิทางความคิดและความเชื่อของตนเองและพรรคกล้า คือ.. “ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
การนำสถาบันฯ มาเพื่อพยายามปลุกปั่นนั้น มีแต่จะเพิ่มความขัดแย้ง และสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปสู่การใช้ความรุนแรง จากอดีตที่ผ่านมาเรามีบทเรียนมากเพียงพอแล้วว่า เจ็บทั้งสองฝ่าย มีนักสู้ คนใจบริสุทธิ์หลายต่อหลายคนต้องสูญเสีย บางทีขวาชนะ บางทีซ้ายชนะ แต่เราก็ยังอยู่ในวังวนการเมืองแบบเก่าแบบเดิม ถามว่า “ชาติเราเคยชนะหรือไม่” จากการยุยงจนก่อให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ วิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง ต้องหยุดเสียที ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเสี่ยงที่จะเผชิญต่อวิกฤตเศรษฐกิจ พี่น้องคนไทยเอง ปากท้องหากินลำบาก คนกำลังตกงาน เด็กจบใหม่ไม่มีงานทำ บริษัทและร้านค้าทยอยปิดตัว เรามาสู้เรื่องนี้ด้วยการลงมือทำด้วยกันเพื่อประเทศดีกว่าไหมครับ
ถ้าอยากจะสร้างประเทศที่ดีกว่า เราต้องหาพื้นที่ตรงกลางให้ได้ ทางฝั่งผู้ชุมนุม ต้องไม่จาบจ้วง ชุมนุมตามกรอบกฎหมายทำได้ ทางฝั่งรัฐ ต้องไม่จับกุมด้วยข้อหาที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เปิดเวทีหารือกัน และต้องพร้อมปรับกติกาการเมืองให้มีความเป็นธรรม มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
พรรคกล้า เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ และคนไทยทุกคนว่า ประเทศไทยของเรามีดี และยังจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีกมาก หากเราทุกคนร่วมกัน “ลงมือทำ” หยุดทุกความขัดแย้ง แล้วมาสร้างสรรค์ประเทศไปข้างหน้าด้วยกัน
ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมมีการปราศรัยถึงสถาบันฯ ว่า ตลอดชีวิตการทำงานการเมืองของตน มีจุดยืนเดียวมาตลอด คือ การทำงานการเมืองภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนตัวเห็นด้วยกับการต่อสู้กับเผด็จการที่บริหารประเทศล้มเหลว ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ทุกข์ยาก ตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน ที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา และหยุดคุกคามประชาชน เพราะถือเป็นข้อเรียกร้องที่สมเหตุผล และอยู่ในวิสัยที่ทุกฝ่ายจะแสวงหาความร่วมมือกันได้ แต่ไม่ควรก้าวล่วงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ จนอาจเป็นเหตุของการยึดอำนาจอีกครั้ง และสำหรับข้อเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาตินั้น ขอย้ำอีกว่า หากมีรัฐบาลแห่งชาติจริง พรรคเพื่อไทยขออาสาเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาลแห่งชาติให้