หลังเกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ 7 ปี ได้มีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเข้าไปท่องเที่ยวบริเวณพื้นที่ร้าง ซึ่งคนท้องถิ่นส่วนหนึ่งมองว่า อาจจะช่วยกระตุ้นให้เมืองแห่งนี้ฟื้นชีวิตได้อีกครั้ง
เมื่อรถวิ่งผ่านเมืองโอกุมะซึ่งแทบจะไม่มีคนอาศัยอยู่ เครื่องตรวจไกเกอร์ขนาดพกพาก็แจ้งว่าบริเวณนี้มีกัมมันตภาพรังสีสูงถึง 2.5 ถึง 3 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง หรือประมาณ 100 เท่าของรังสีพื้นหลังตามธรรมชาติ โดยโอกุมะเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิมากที่สุด และภาครัฐยังคงมีคำสั่งให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 7 ปีก่อน ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปล่��ยกัมมันตภาพรังสีออกมาเป็นจำนวนมาก และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 15,000 ราย จนถึงปัจจุบัน กัมมันตภาพรังสียังคงตกค้างในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้หลายเมืองในจังหวัดนี้แทบร้างผู้คน
แต่คนในพื้นที่อย่าง ‘ทาคุโตะ โอคาโมโตะ’ รวมถึงบริษัททัวร์อีกหลายเจ้า ได้พยายามคืนชีวิตให้กับฟุกุชิมะ ด้วยการพานักท่องเที่ยวมาชมเมือง โดยโอคาโมโตะเริ่มทำทัวร์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และครั้งนี้เขาได้พานักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ไปเยี่ยมชมรั้วที่แบ่งเขตแดนระหว่างโซนร้างกับโซนที่สามารถอยู่อาศัยได้ และยังพาไปชมฟาร์มปศุสัตว์ที่วัวกว่า 300 ตัวได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี ซึ่งการเดินทางเข้าใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ได้มากที่สุด ได้ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้จ่ายเงิน 23,000 เยน หรือประมาณ 6,800 บาท เพื่อแลกกับประสบการณ์ที่สามารถนำไปอวดได้ครั้งนี้
นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีนักเรียนมาทัศนศึกษาที่เมืองนามิเอะ ซึ่งเริ่มมีผู้คนย้ายกลับเข้าไปอยู่บ้างแล้ว หลังจากที่ระดับกัมมันตภาพรังสีได้ลดลงเมื่อปีก่อน โดยนักเรียนเหล่านี้ได้ศึกษาถึงการปลูกข้าวในฟาร์มท้องถิ่น รวมไปถึงผลกระทบของภัยพิบัติที่มีต่อพื้นที่บริเวณนี้
แม้ปัจจุบันเมืองนี้ได้รับการประกาศแล้วว่าปลอดภัย แต่นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยก็วัดระดับกัมมันตภาพรังสีได้มากถึง 4 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนไม่กล้าเสี่ยงที่จะมาเที่ยวที่นี่ โดยข้อมูลจากภาครัฐระบุว่า ในปี 2017 มีชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นรวมกันมากกว่า 70 ล้านวัน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขในปี 2011 ถึงสามเท่า โดยมีนักท่องเที่ยวมาอยู่ที่ฟุกุชิมะเพียง 94,000 วันเท่านั้น