สัปดาห์นี้มีภาพยนตร์ใหม่เรื่องเดียวที่เข้าฉายในบ้านเรา และก็เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่มีการใช้เทคโนโลยีในการโปรโมตมากด้วย กับ Jurassic World: Fallen Kingdom ที่เป็น Jurasic World ภาคที่สอง และ Jurassic ภาคที่ห้า
ก่อนหน้านี้ มีข่าวการเปิดตัวเกม Jurassic World Alive ที่มีลักษณะคล้ายโปเกมอนโก ให้แฟน ๆ ได้จับไดโนเสาร์จากสถานที่ในชีวิตประจำวัน โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตภาพยนตร์ Jurassic World: Fallen Kingdom ซึ่งนอกเหนือจากนั้น จูราสสิกภาคล่าสุดนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยโปรโมตอีก นั่นก็คือฟีเจอร์ AR ในเฟซบุ๊กที่ The Mill บริษัทแอนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกต์ผลิตให้ ซึ่งจะทำให้แฟน ๆ ได้เจอกับ 'บลู' แรปเตอร์ตัวโปรดเหมือนกับว่ามันมาอยู่ตรงหน้าทีเดียว
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การโปรโมตในลักษณะนี้สมจริงและดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้มากขึ้น จากเดิมที่ Jurassic World ภาคแรกออกฉาย มีการโปรโมตหลัก ๆ เพียงการเปิดให้เข้าไปทัวร์เกาะไดโนเสาร์ ที่จำลองมาจากในเรื่อง ผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงนี้ในระยะเวลาเพียง 3 ปี จึงถือเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของวงการวิชวลเอฟเฟกต์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวม
นอกเหนือจากความเปลี่ยนแปลงด้านการโปรโมต การเขียนเรื่องราวในภาคนี้ยังแตกต่างจากภาคอื่น ๆ โดยที่ Colin Trevorrow เลือกที่จะใช้ภาพยนตร์สายลับเป็นแกนในการเขียนและเรียบเรียงจังหวะ ทำให้ภาพยนต์ภาคนี้มีกลิ่นอายลึกลับยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องที่เขาเลือกก็เช่น Bridge of Spies ของ Steven Spielberg และ Three Days of the Condor ของ Sydney Pollack
Trevorrow กล่าวว่าเขามีพล็อตสำหรับภาพยนตร์ Jurassic World 3 ที่จะเข้าฉายในปี 2021 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าแล้ว ซึ่งเขามั่นใจว่า Trilogy นี้ จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก Trilogy ดั้งเดิมอย่าง Jurassic Park ได้แน่นอน เรียกได้ว่า ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ แม้จะเดินตามรอยความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรกในปี 1993 แต่ในหลายมิติก็ได้ริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ทั้งการวางเส้นเรื่องและการโปรโมต ซึ่งก็น่าจะกลายเป็นมาตรฐานให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ยิ่งต้องจับเทคโนโลยีเพื่อให้เข้าถึงผู้ชม และในที่สุดคือเพื่อกระตุ้นยอดขายตั๋ว สร้างกำไรให้ได้ต่อไป
มีรายงานว่า Jurassic World: Fallen Kingdom ใช้งบประมาณโปรโมตทั่วโลกราว 185 ล้านดอลลาร์ หรือ 5,900 ล้านบาท มากกว่าภาคที่แล้วเกินเท่าตัว