เว็บไซต์ของสำนักข่าว Wall Street Journal รายงานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจไทย โดยชี้ว่านักลงทุนจากทั่วโลกต่างมีความกังวลและไม่ชอบใจสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทยเท่าใดนัก แต่เหตุการณ์ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีออกจากประเทศช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้นอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยหลังจากวันที่ 25 สิงหาคมเป็นต้นมา ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยมีทีท่าปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดดัชนีหุ้นไทยสามารถทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปีได้ และมีแนวโน้มว่าจะทำลายสถิติเดิมที่เคยสร้างไว้เมื่อต้นปี 1994 ได้อีกด้วย
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวก็คือมูลค่าของค่าเงินบาทที่ขณะนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่กลางปี 2015 เป็นต้นมาเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ โดยปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นถึง 7.5% ถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้มูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลก็มีเงินสะพัดมหาศาลราว 5,700 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ตรงกันข้ามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดตลาดเล็กกว่าไทยอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย แต่ตัวเลขการซื้อขายกลับสูงถึง 4,300 และ 8,300 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ก็โตดีเกินคาดอยู่ที่ 3.7% ซึ่งรัฐบาลไทยมองว่าสิ้นปีนี้ GDP น่าจะสามารถโตได้อีกถึง 4% / Wall Street Journal มองว่า แม้ไทยจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และเกิดการรัฐประหารขึ้น แต่นักลงทุนต่างให้ความสำคัญและยังคงคาดหวังอย่างมากว่าการเลือกตั้งในปีหน้าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขาให้สามารถมั่นใจในการทุ่มเงินลงทุนเข้าสู่ไทยได้อีกครั้ง