รายการ Hot topic ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2555
1 ปีผลงานรัฐบาลเพื่อไทย ทักษิณ ยอมรับทำงานในภาวะที่ยากยิ่ง แต่ผลงานออกมาขนาดนี้ ถือว่าน่าพอใจ ย้ำรัฐบาลต้องกระจายโอกาสอย่าเท่าเทียม ให้คนไทยพัฒนาเร็วตามโลกให้ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ HOT TOPIC โดยระบุถึงผลงาน 1 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า ทำตามไปเยอะแต่ไม่ 100% เพราะเจอเรื่องน้ำท่วมเป็นประวัติการณ์ จึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนในการแก้ปัญหา ทำให้ทุกอย่างสะดุด แต่ตอนนี้ก็เริ่มทำหลายเรื่องที่คิดไว้ ที่เสียหายไปตั้งแต่การปฏิวัติ และพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นจุดอ่อนของการเมืองไทย ที่ขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา หรือคิดแบบพวกเขาพวกเรา อีกทั้งการเจอปัญหาเรื่องการใช้งบประมาณด้วย
สำหรับคะแนน 10 เต็ม ถ้าถามว่าให้เท่าไร พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า งานที่ทำไปแล้วกับที่คิดไว้ ต้องบอกว่าเพิ่งทำไปได้เพียง 60-70% แต่คิดว่าอีก 1 ปี รัฐบาลน่าจะทำได้เต็มที่ ส่วนเรื่องผลกระทบค่าแรงนั้น ต้องมองสองแง่ ต้องมองว่าหากเอกชนให้ทำงานแบบไขลานไปทำงานหรือไม่ เพราะชีวิตคนทำงานหากลำบากก็จะไม่เกิดผลงาน แต่เอกชนต้องไปคิดว่าทำการตลาดให้ดีกว่านี้ คิดด้านอื่นให้ดีกว่า ปรับปรุงให้ดีกว่าในส่วนนี้ ก็จะทำให้ปรับศักยภาพเพื่อการแข่งขันได้ดีขึ้น และต้องมองว่าค่าแรง 300 บาท ก็จะไม่พอกิน เนื่องจากทุกอย่างมันก็ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนการทุจริตจำนำสินค้าเกษตร ตนขอให้ไปดูได้เลยว่ามีที่ไหน แล้วจัดการได้เลย ตนยืนยันว่า ระบบจำนำดีกว่าระบบประกันแน่นอน เพราะระบบประกันเอาแต่เงินไปเติมให้กับประชาชนที่ไม่ใช่ชาวนา แต่ระบบจำนำชาวนาได้ เพราะมีข้าวมาจำนำ ซึ่งได้เต็มปากเต็มคำ และถ้าคงราคานี้ไว้อีก 2 ฤดูทำนา ชาวนาจะพ้นหนี้สิน
แต่เมื่อขึ้นราคา ผู้ส่งออกต้องขอบคุณที่ประเทศอื่นทุ่มขายข้าวออกมา จนราคาถูก ทำให้ตอนนี้เรามีสต๊อกข้าวมากที่สุด จึงทำให้ราคาข้าวมันขึ้น ถึง 600 ดอลลาร์กว่าตันแล้ว ซึ่งต่างจากระบบเดิม ที่รัฐบาลไปซื้อแพงขายถูก แต่รัฐบาลนี้จำนำมาแพงก็ต้องนิ่งจนราคาข้าวมันขึ้น อีกทั้งนิตยสารทั่วโลกก็รายงานมาแล้วว่า หลายพื้นที่เริ่มแล้ง ทำให้ราคาอาหารเริ่มขึ้น วันนี้เราไม่ได้รังแกผู้ค้าส่งออก ต้องหาตลาดมากหน่อย อย่าเอาแต่ขายของถูกให้ขาเดิม ซึ่งตนพบกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ก็ช่วยให้เขาซื้อข้าวเราเพิ่ม และไม่ต้องห่วงว่า เพราะวันนี้ราคาข้าวขึ้นก็จะไม่ลงแน่นอน ซึ่งตนจะไปพบกับประธานาธิบดีอิรัก ก็จะเจรจาเรื่องค้าข้าวและอาจแลกกับน้ำมัน
วันนี้เราต้องการยกให้ความเป็นอยู่ของประเทศทั้งหมดดีขึ้น คนใช้แรงงาน เกษตรกร มีรายได้พอกิน เหมือนกับคนเรียนหมอ แต่ถ้าจบมาแล้วเงินเดือนน้อย คนก็ไม่เรียนหมอ หันไปเรียนนิติศาสตร์ที่วันนี้สามารถทำเงินได้มาก จึงต้องช่วยให้เกษตรกรดีขึ้น
"เราเป็นผู้ค้าข้าวอันดับหนึ่งของโลก จะไปยอมให้คนค้าข้าวอันดับสองอันดับสาม มากำหนดราคาได้อย่างไร"
ส่วนเรื่องแท็บเล็ตพีซี จะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพ่อแม่และลูกได้เรียนรู้ร่วมกัน อีกทั้งการมี free wifi ก็สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ง่าย มีความรู้ได้มาก และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มาก ช่วยให้เมืองไทยมีความฉลาดมากขึ้น ส่วนเรื่องการจะมัวรอความสมบูรณ์ทุกอย่างนั้น จะไม่มีไฟฟ้าหรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์ เหมือนนักเรียนจะสอบผ่านหมดเป็นไปไม่ได้ ย่อมมีเด็กที่สอบตก แต่จะมัวรอให้เด็กสอบผ่านเรียนเก่ง แล้วค่อยเปิดโรงเรียนมันจะเป็นไปไม่ได้
ส่วนเรื่องการเรียนรู้นั้น นอกจากนำสื่อหนังสือดีๆลงไปแล้ว อีกวิธีอาจมีครูเก่งๆเข้ามาสอนในห้องเรียนอัจฉริยะ แล้วเอาแท็บเล็ตพีซีเข้าไปเรียนกับครูคนนั้น ซึ่งจะเป็นการเรียนร่วมกัน เพราะเราไม่สามารถสร้างครูพันธุ์ใหม่ได้ทัน วันนี้เด็กต้องฉลาด และครูต้องฉลาดให้ทัน เพราะก็ได้เห็นวิธีสอนที่เก่งๆ วันนี้ครูเก่งมีมาก แต่อาจจะยังไม่ทั่วประเทศ การใช้เทคโนโลยีจะทำให้เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น อีกทั้งต้องทำเรื่อง wifi จะต้องทำให้เชื่อมโยงเป็นระบบด้วย
ส่วนเรื่องรถยนต์คันแรกนั้น ต้องมองว่า ปัจจัยสี่มันปลี่ยนไป และถือเป็นปัจจัยสำคัญ เราอยากให้คนได้เริ่มชีวิตได้ง่ายๆ เพื่อให้คนแข็งแรงเร็วๆ หากมีเร็วก็จะทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง เพราะมีภาระความรับผิดชอบ ไม่ใช่พอเบื่องานก็สะบัดตูดหนีทันทีมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้ชีวิตได้เริ่มเร็วขึ้นง่ายขึ้น เพื่ออนาคตจะได้พัฒนาไปเร็วตามไปด้วย ซึ่งวันนี้อิทธิพลของโลกเข้ามาเร็ว แต่ที่ผ่านมาเราทำให้คนไทยล้าหลังไปมาก จึงต้องพัฒนา เหมือนอย่างบิลเกต เคยบอกว่า เราไม่ผิดที่เกิดมาจน แต่หากเรายังตายจนอยู่ นั่นจะเป็นความผิดของเรา แต่หากเกิดมาจน แต่เราไม่อยากจน แต่ดันตายจน แสดงว่าเป็นความผิดของรัฐ ซึ่งต้องแก้ไข
ส่วนเรื่องกองทุนช่วยเหลือต่างๆนั้น เพียงแต่ปาดเอาเงินจากคนเมือง มาเจือจานกับสังคมชนบทบ้าง จะได้ช่วยให้สังคมชนบทดีขึ้น ตนอยากบอกว่า รัฐบาลต้องมีวินัยการเงินการคลัง ต้องใช้เงินไม่กระจุก และต้องให้โอกาสเท่าเทียมกัน และต้องให้สังคมระดับล่างได้ประโยชน์ไปด้วย
สำหรับนโยบายโอท็อป ต้องบอกว่า ช่วงรัฐบาลทหารมีการล้างไปบ้าง พอรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ไม่เข้าใจปรัชญา ซึ่งต้องกลับไปใหม่ โดยที่ผ่านมาโครงการศิลปาชีพ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯเคยทำไว้ เพียงแต่โอท็อป เข้าไปเสริมต่อยอด เพื่อให้คนที่มีฝีมือเหล่านั้นได้กลับมาทำประโยชน์และให้เป็นรายได้เสริมจากอาชีพเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพหลัก ส่วนเงินทุนไม่มี ก็มีการตั้งกองทุนเพื่อให้เข้าถึง ซึ่งเป็นระบบไมโครไฟแนนซ์ ไม่ใช่ระบบธนาคาร แบบทุนนิยมมาครอบไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เพียงการแจกเงินอย่างเดียว แต่ต้องให้ประชาชนเข้ามาดูแลด้วย เพื่อให้สังคมเติบโตไปด้วยกัน
เมื่อถามถึงการเลือกตัวคนมาเป็นรัฐมนตรีนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า นายกฯมีประสบการณ์แล้ว ที่ผ่านมาก็จะมีมาถามว่า คนคนนั้นมีประวัติอย่างไร ตนมีประวัติเดิม นายกฯมีประวัติใหม่ ก็เอามาเสริมกัน ส่วนการตัดสินใจเป็นเรื่องของนายกฯ และยืนยันว่าไม่มีการขัดแย้งกัน ส่วนปรึกษากันเป็นเรื่องธรรมดา แม้กระทั่งการโยกย้ายนายตำรวจ ก็ต้องดูความเหมาะสม และเป็นไปตามระบบ
ประเมินนายกฯยิ่งลักษณ์อย่างไร อดีตนายกฯ ตอบว่า ตนมองว่า เก่งกว่าที่คิดไว้เยอะ เพราะด้วยความที่เป็นคนเติบโตบ้านนอกเหมือนกัน จึงทำงานด้วยความทุ่มเท และเข้าใจการบริหารด้วย และตอนนี้ก็รู้จักคนมากขึ้น เข้าใจระบบราชการมากขึ้นก็ดีขึ้น และก็ไม่ใช่นายกฯหุ่นเชิด เพราะด้วยความเป็นผู้นำอยู่แล้ว ก็ไม่ยอมแน่นอน ส่วนเรื่องการหารือพูดคุยกันตามแบบครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่การบริหารก็เป็นเรื่องของท่านเอง
นอกจากนี้ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า แม้การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกต้องนัก แต่สิ่งสำคัญก็ต้องพยายามเลี่ยงความขัดแย้ง และเราก็ไม่อยากหักด้ามพร้าด้วยเข่า ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำ อะไรที่จะเพิ่มความขัดแย้งเราก็ไม่ทำ อย่างไรก็ตาม เรื่องการรีบกลับบ้าน ตอนนี้ตนก็เฉยๆ สบายๆ ไม่รีบ บอกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยตนไม่รีบ ซึ่งตอนนี้ตนเดินทางไปพบผู้นำต่างประเทศเยอะมาก เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว
ช่วงท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ มองว่า จากนี้รัฐบาลต้องทำงานหนัก เพราะประเทศเสียหายมาก โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่จ้องล้มรัฐบาล จึงทำงานยาก และระบบราชการที่เสียไป จึงต้องใช้เวลา ซึ่งตอนนี้ยากกว่าสมัยตอนที่ตนเข้ามาทำงาน เพราะรัฐธรรมนูญสมัยนั้นมาจากประชาชน และให้อำนาจนายกฯตัดสินใจได้เร็ว ซึ่งประเทศจะพัฒนาไปเร็วมากถ้าไม่มีความขัดแย้ง
ส่วนการรัฐประหารจะครบ 6 ปีนั้น อดีตนายกฯ บอกว่า ที่ผ่านมามีคนหนึ่งเคยมาพูดกับตนตั้งแต่ตนยังเป็นนายกฯ ซึ่งตนถามว่า ประเทศไทยจะมีปฏิวัติอีกมั๊ย เขาตอบว่า ตราบใดคนขับรถสิบล้อยังกินยาบ้า ปฏิวัติก็ย้งไม่พ้นจากประเทศไทย นั่นก็หมายถึง เรื่องบ้าๆยังเกิดขึ้นในประเทศไทยได้ ส่วนวันนี้หากมีปฏิวัติ ความเสียหายจะรุนแรงมาก และไม่คุ้มกับฝ่ายใดๆทั้งสิ้น วันนี้รัฐบาลต้องไม่กลัว จะปฏิวัติก็ปฏิวัติไป ไม่ต้องไปกลัว
ด้านการเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดง ตนพยายามบอกเสมอว่า เราจะต้องเคลื่อนไหวเรื่องการปกป้องประชาธิปไตย และดำรงความเป็นธรรมเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนเกิดขึ้นในสังคม.