รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 10 สิงหาคม 2563
“พิชัย” ย้ำอีก “ประยุทธ์” ไม่เห็นหัวคน พปชร. อวยยศแต่คนนอกได้ตำแหน่งดี ๆ แต่คน พปชร.ได้อยู่กระทรวงบี แถมจัดทัพเศรษฐกิจสุดมึน แนะเลิกโกหกตัวเองว่าเศรษฐกิจดี ทั้งที่เจ๊งไม่มีชิ้นดี ถ้าไม่ยอมรับความจริง ระวัง! คนจะมาม็อบเพิ่ม
แถมงานนี้! “คำผกา” ยังเตือนสติ “พุทธิพงษ์” อย่าลืมว่าที่ได้เป็น รมต.ก็เพราะก่อม็อบ กปปส.ล้มรัฐบาลประชาธิปไตย...(ยังมีหน้าจะมาสอนเด็กอีก #แอดกล่าว)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ได้ปรับ ครม. แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก กังวลว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้ จน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาร้องขอความเชื่อมั่น ส่วนตัวอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ทราบถึงความสับสนในวิธีคิดในการปรับ ครม. ที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น 4 ข้อดังนี้
1. ตั้งนายดอน ปรมัติถ์วินัย เป็นรองนายกฯ เพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะให้มาช่วยเศรษฐกิจและติดต่อต่างประเทศ ซึ่งความจริงตลอด 6 ปี นายดอนไม่ได้เคยแสดงถึงวิสัยทัศน์ทางด้านนี้เลย แถมยังมีเรื่องอิ้อฉาวที่ภรรยาถือหุ้นและตัวเองก็ยอมรับ แต่กลับหลุดคดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลกย่ำแย่มาตลอด สื่อหลักต่างประเทศยังคงโจมดีไทยไม่หยุด แม้กระทั่งหลังเลือกตั้งแล้วก็ยิ่งโดนโจมตีหนัก โดยนายดอนไม่เคยแก้ไขได้เลย อีกทั้งกระทรวงต่างประเทศภายใด้กำกับของนายดอนไม่เคยทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้เลย แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวการประมูลอี-พาสปอร์ตที่มีข้อสงสัยกันว่าผู้ชนะการประมูล มีสเป็กที่อาจจะไม่ตรงแต่ก็ช่วยกันให้ชนะการประมูล ซึ่งก่อนหน้านี้ กระแสสังคมยังเข้าใจว่าจะมีการปรับนายดอนออกจาก ครม. จากที่ไม่มีผลงานที่ประชาชนได้รับรู้ เหมือนกับประเทศไทย ไม่มี รมว. ต่างประเทศ แต่กลับได้รับการเลื่อนขั้น
2. การแต่งตั้ง รมว. พลังงาน ให้ควบ รองนายกฯ แต่ รมว. คลัง ไม่ควบ รองนายกฯ ทั้งที่กระทรวงการคลังมีขอบข่ายครอบคลุมทุกกระทรวงทุกหน่วยงานและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจมากกว่ากระทรวงพลังงาน ไม่แน่ใจและรู้สึกสับสนว่ามีหลักคิดอย่างไร หรือ นายปรีดี ไม่กล้าจะมาเป็น รองนายกฯ เพราะแค่ที่กระทรวงการคลัง งานก็จะหนักอยู่แล้ว อีกทั้ง อาจจะเป็นเพราะพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจ การแต่งตั้งแบบนี้จะยิ่งทำให้ทำงานได้ยากและจะยิ่งเป็นปัญหา
3. การที่หัวหน้าพรรค พปชร. และ เลขาธิการพรรค พปชร. ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล โดยพล.อ.ประวิตร เป็นแค่ รองนายกฯ ไม่ได้ควบกระทรวงอะไร และ นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค เป็น แค่ รมต. สำนักนายกฯ เท่ากับ ไม่ให้เกียรติ พปชร. / พรรคใหญ่สุดในรัฐบาล ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆ หัวหน้าพรรคและเลขาฯ ต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โตกันหมด นอกจากนี้แกนนำที่ควรได้เลื่อนขึ้นกำกับดูแลกระทรวงใหญ่ก็ถูกปฏิเสธ / พปชร. จึงเป็นเหมือนพรรคที่ไร้ค่า ไม่มีราคาทางการเมืองเลย ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ถึงขนาดมีการขู่กันว่าอาจจะเกิดอาฟเตอร์ช็อก
4. การแต่งตั้ง รมช. แรงงาน ทั้งที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่ปี 45 หรือ 18 ปีที่แล้ว ทั้งนี้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเล็ก การตั้งนางนฤมล เป็น รมช. แรงงาน ทั้งที่เป็นทีมเศรษฐกิจของ พปชร. ยิ่งตอกย้ำการไม่ให้ค่า นางนฤมล และ พปชร. เพิ่มขึ้น อีกทั้งแสดงว่านายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน อาจไม่มีความสามารถพอในการบริหารกระทรวงแรงงานนี้ได้คนเดียว หรือ อาจเหมือนกับจำเป็นต้องแต่งตั้งแบบไม่เต็มใจ ซึ่งหากเห็นคุณค่านางนฤมลจริง ก็น่าจะตั้งให้เป็น รมช. คลัง ที่มีความสำคัญมากกว่า และสามารถแต่งตั้ง รมช. คลัง ได้มากกว่า 1 คน ในสภาวะเศรษฐกิจทรุดหนักนี้ จะมีบทบาทมากกว่า รมช. แรงงานนี้
จาก 4 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ปรับ ครม. เพื่อแก้ปัญหาประเทศ แต่เพื่อแก้ปัญหาของตัวเอง ภาพลักษณ์และชื่อชั้นของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังปรับ ครม.กลับแย่หนักกว่าก่อนปรับ ครม. เสียอีก ทั้งที่ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่ามาก ซึ่งจะทำให้ความลำบากของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
ที่สำคัญที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันที่จะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง ทั้งที่ล้มเหลวมาตลอด ในปี 2562 ที่พลเอกประยุทธ์เริ่มเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยขยายได้เพียง 2.4% ในไตรมาสสุดท้าย ขยายได้ต่ำเตี้ยเพียง 1.9% ต่อเนื่องมา ปี 2563 นี้ เศรษฐกิจไทยจะติดลบหนักถึงกว่า -10% เลย และ ถึงไม่มีไวรัสโควิด เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็จะติดลบแต่อาจจะไม่มากเท่านี้ ซ้ำร้าย พลเอกประยุทธ์ยังกล้าประกาศว่าตั้งแต่เข้ามาเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาตลอดจนมาเจอโควิด ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจและยังหลอกตัวเอง อีกทั้งตั้งใจจะหลอกประชาชนซึ่งคงไม่มีใครเชื่อแล้ว ทั้งนี้เพราะ 6 ปีตั้งแต่พลเอกประยุทธ์เข้ามาเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุด รายได้ประชาชนส่วนใหญ่ลดลง ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นหลายล้านคน ซึ่ง เวิลด์แบงค์ ไอเอ็มเอฟ และ เอดีบี ก็บอกตรงกัน และเป็นภาวะกบต้มชัดเจนตามที่ตนได้เคยเตือนแล้วแต่พลเอกประยุทธ์คงไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย จึงได้ส่งคนมาดำเนินคดีกับตน
นอกจากนี้ การที่ พปชร. ขับไล่นายสมคิด และ 4 กุมาร จนต้องยกทีมลาออก ก็เพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมรับความจริง หรือ ขาดความรู้และขาดสำนึกที่จะรับทราบความจริง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พลเอกประยุทธ์จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้
ดังนั้น เรื่องแรกที่พลเอกประยุทธ์ต้องทำคือต้องเลิกหลอกตัวเอง แล้วยอมรับความจริง และ ศึกษาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อจะสามารถแก้ปัญหาได้ และถ้าพบว่าปัญหาเกิดที่ตัวพลเอกประยุทธ์เอง พลเอกประยุทธ์ก็ต้องรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เวลาในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์น่าจะหมดแล้วใช่หรือไม่ หากยังดื้อรั้นจำนวนนักศึกษาและประชาชนที่จะออกมาขับไล่พลเอกประยุทธ์จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะต้านทาน