ทางการสหรัฐฯยังไม่กล้ายืนยันว่า การแฮ็กข้อมูลบริษัทโซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นฝีมือของเกาหลีเหนือจริงหรือไม่ เพียงแต่ระบุว่า นี่คือภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นปัญหาระดับประเทศ
นายจอร์จ เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความคืบหน้า กรณีที่บริษัทโซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์เจาะฐานข้อมูลสำคัญและนำออกมาเผยแพร่ ทั้งอีเมลโต้ตอบของผู้บริหารระดับสูง ค่าตัวของนักแสดง ประวัติสุขภาพของพนักงาน ไปจนถึงบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ เพื่อข่มขู่ให้โซนี่ พิคเจอร์ส เลิกฉายภาพยนตร์เรื่อง ดิ อินเทอร์วิว ภาพยนตร์ตลกเบาสมอง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแผนลอบสังหารนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ โดยหน่วยซีไอเอของสหรัฐฯ
โดยนายเออร์เนสต์ระบุว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐฯยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เกาหลีเหนือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการแฮ็กข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ โดยระบุแต่เพียงว่า การกระทำดังกล่าวมีตัวแสดงที่ซับซ้อน
ซึ่งก่อนหน้านี้ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าว และฐานข้อมูลของหน่วยตรวจสอบการแฮ็กข้อมูลของบริษัทโซนี่ พิคเจอร์ส โดยยืนยันว่า หลักฐานส่วนใหญ่ ทำให้เห็นได้ว่า กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่กระทำการภายใต้ชื่อของ Guardians of Peace นั้น ทำงานให้กับทางการเกาหลีเหนือ แต่ในทางตรงกันข้าม โฆษกของทำเนียบขาว ยังไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้แต่อย่างใด
โดยเมื่อวานนี้ ทางบริษัทโซนี่ พิคเจอร์ส ได้ตัดสินใจยุติการฉายภาพยนตร์เรื่องดิ อินเทอร์วิว ที่มีกำหนดลงโรงในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ โดยให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยของผู้ชมภาพยนตร์ และพนักงานของบริษัทโซนี่เอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ กลุ่มแฮ็กเกอร์ได้ข่มขู่ว่า หากโซนี่ พิคเจอร์ส ยังคงยืนยันที่จะฉายภาพยนตร์ดังกล่าวต่อไป พวกเขาก็ไม่รับรองความปลอดภัย และอาจจะเกิดโศกนาฏกรรมเหมือนเหตุการณ์ 9/11 ก็เป็นได้
จนถึงขณะนี้ ทางการสหรัฐฯยังไม่มีแนวทางที่แน่ชสัด ว่าจะรับมือกับแฮ็กเกอร์กลุ่มนี้ได้อย่างไร และหากว่าพวกเขาทำงานให้กับทางการเกาหลีเหนือจริง สหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างไร โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า หากเป็นฝีมือของเกาหลีเหนือจริง การกระทำครั้งนี้ จะทำให้ทั่วโลกได้เห็นว่า เกาหลีเหนือก็มีฝีมือในการโจมตีที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ และจะเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญว่าสหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างไร ซึ่งการตอบโต้อย่างรุนแรงนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมิเช่นนั้น เกาหลีเหนือก็จะกระทำการในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ
โดยก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการแฮ็กข้อมูลดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากเกาหลีเหนือจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับ 1 แล้ว หลายฝ่ายยังมองว่า มีความเป็นไปได้ ที่กลุ่มแฮ็กเกอร์ดังกล่าวอาจเป็นผู้ที่ไม่พอใจบริษัทโซนี่ พิคเจอร์สเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เป็นได้