เทสลาประกาศปิดโชว์รูมรถหลายแห่งเพื่อลดต้นทุน เน้นขายออนไลน์ และปรับลดราคาเทสลาโมเดล 3 เหลือ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำนักข่าว The Guardian รายงานว่า 'อีลอน มัสก์' ประธานบริหารบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา ประกาศปิดโชว์รูมหลายแห่ง เพื่อแก้ปัญหาด้านต้นทุนที่สูงเกินไป ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคัน หรือประมาณ 1,364,000 บาท โดยมัสก์กล่าวว่า ในปี 2019 ผู้คนต่างต้องการซื้อสินค้าทางออนไลน์ และการย้ายแพลตฟอร์มการขายสินค้าไปอยู่บนออนไลน์จะช่วยลดต้นทุนของรถยนต์และยังเป็นการบริหารจัดการด้านเงินของบริษัทอย่างยั่งยืนในอีกมุมหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ การย้ายแพลตฟอร์มการขายมาเป็นในรูปแบบออนไลน์นั้น ทำให้เทสลาสามารถปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าลงได้ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ โดยรถยนต์เทสลา รุ่นโมเดล 3 มีราคาเริ่มต้นเหลือ 35,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,085,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่เทสลาต้องการดึงดูดลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มัสก์ยังคาดว่าในปีนี้ น่าจะสามารถขายเทสลาโมเดลได้ถึง 500,000 คัน
อีลอน มัสก์ ยอมรับว่าแม้การเดินหน้าทำการขายในช่องทางออนไลน์จะเป็นสิ่งที่ใหม่และท้าทายอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการขายรถยนต์ แต่วิธีนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็นจะต้องทำ เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันนิยมซื้อสินค้าแทบจะทุกประเภทออนไลน์ ซึ่ง คาร์ล เบราว์เออร์ ผู้บริหารจากสำนักพิมพ์ Kelley Blue Book วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ว่าการทำการตลาดออนไลน์เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่งในการตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้สนใจจะสั่งซื้อรถยนต์เทสลาในช่องทางออนไลน์จะยังคงได้รับสิทธิ์ในการทดลองขับที่ศูนย์บริการลูกค้าหรือโชว์รูมทุกที่ที่ยังคงเปิดทำการอยู่หรือไม่ แต่ที่ทราบกันในตอนนี้คือลูกค้าที่อยู่ห่างไกลจากโชว์รูมและศูนย์บริการ สามารถที่จะขอคืนเงินได้ภายใน 7 วันหลังจากการได้รับรถแล้ว หรือหลังจากการขับขี่ไม่เกิน 1,000 ไมล์ ซึ่งในกรณีนี้นายมัสก์ชี้ว่า ไม่น่าจะมีลูกค้าคนใดไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์จนถึงขั้นเรียกขอเงินคืน
สำหรับการปิดโชว์รูมเทสลานั้น ทางบริษัทกล่าวว่าจะคงไว้เพียงโชว์รูมใหญ่ ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประชากรหนาแน่น และจะถูกใช้งานเป็นเสมือนศูนย์ข้อมูลของบริษัทเทสลาเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเทสลามีโชว์รูมทั่วโลก 378 แห่ง โดยมี 23 แห่งอยู่ในประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์ ซึ่งแบ่งออกเป็นโชว์รูมสำหรับการขาย 18 แห่ง และศูนย์บริการ 5 แห่ง โดยหากมีการปิดโชว์รูมขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลกจริง พนักงานหลายพันคนอาจจะต้องตกงาน แต่ขณะนี้ทางผู้บริหารชองเทสลายังไม่ได้ออกมาให้รายละเอียดว่าจะทำการปิดสาขาใดบ้าง และจะมีการปลดพนักงานทั้งหมดกี่คน
ขณะเดียวกัน ในวันที่อีลอน มัสก์ ประกาศลดราคาและปิดโชว์รูม นายมัสก์ได้กล่าวถึงฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาพร้อมกับเทสลาโมเดล 3 อีกด้วย นั่นคือเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยลูกค้าที่ต้องการได้รับฟังก์ชั่นนี้ต้องจ่ายเพิ่มอีก 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 159,000 บาท ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้เองบนท้องถนนในเมืองใหญ่
อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 100 เปอร์เซ็นต์จะฟังดูล้ำสมัยและน่าดึงดูดอย่างมาก แต่ขณะนี้ก็ยังเป็นเพียงการขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100 เปอร์เซ็นต์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เช่นการรักษาระยะห่างระหว่ารถยนต์คันอื่นที่อยู่รอบข้างบนถนนหลวง ซึ่งยังคงต้องการความช่วยเหลือจากผู้ขับในการควบคุมอยู่ดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้าใจที่ผิดอยู่ โดยเชื่อว่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั่นคือเทคโนโลยีที่ไม่ต้องการการพึ่งพาจากมนุษย์เลยโดยสิ้นเชิง และหากมีคนเชื่อแบบนี้จำนวนมาก เทคโนโลยีดังกล่าวอาจนำไปสู่อับัติเหตุบนท้องถนนที่มากขึ้นก็เป็นได้
การเรียกยานพาหนะของเทสลาหรือบริษัทใดก็ตามว่าเป็นการขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 100 เปอร์เซ็นต์นั้นจึงอาจเป็นเพียงแค่การโฆษณาเกินจริง และเป็นคำสวยหรูที่สร้างความน่าสนใจให้กับบทความหรือข่าวที่พาดหัวถึงเรื่องนี้ โดยไมเคิล เฟลมมิง CEO ของ Torc Robotics บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการในการพัฒนาระบบดังกล่าวมายาวนานถึง 12 ปีเต็มระบุว่า รถยนต์เทสลาที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติสมบูรณ์ หากแต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มากกว่า
อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในปัจจุบันก็คือการที่รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ยังไม่มีการให้คำจำกัดความที่ชัดเจนและอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน โดยเฟลมมิงชี้ว่าตลอดระยะเวลาที่เขาคลุกคลีอยู่ในวงการนี้ มีการใช้คำที่หลากหลายอย่างมากในการเรียกเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น Robotic, Unmanned, Autonomous, Semi-autonomous และ Driverless ขณะที่หน่วยงานด้านคมนาคมของสหรัฐฯ แบ่งประเภทของการขับเคลื่อนออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งระดับ 4 คือระดับที่ยานพาหนะสามารถเริ่มขึ้บเคลื่อนด้วยตัวเองได้ในพื้นที่ที่ถูกจำกัดไว้ เช่น ใจกลางเมืองใหญ่ ขณะที่ระดับ 5 คือการที่มนุษย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับขี่เลย