ไม่พบผลการค้นหา
ย้อนรอยความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังจากตัวพะยูน ที่เป็นส่วนหนึ่งของการล่าจนเกือบสูญพันธ์

เรื่องของ "มาเรียม" พะยูนน้อย ที่ได้รับการอนุบาลที่เกาะลิบง จ.ตรัง น่าจะเป็นเรื่องสัตว์ที่ดูแล้วชุ่มชื่นหัวใจที่สุดในรอบสัปดาห์ หลังจากที่ผ่านมามีแต่ข่าวแมลงสาบ งูเห่า เหี้ย หนูท่อ ปลาไหล ฯลฯ เพราะน้องมาเรียมหน้าตาน่ารักดี และความร่วมมือร่วมใจดูแลลูกพะยูนของทุกฝ่ายก็ดูแล้วมีความหวังด้านการอนุรักษ์

ตั้งแต่เด็กจนอายุเกือบครึ่งคน ฉันได้ยินเรื่องสถานการณ์พะยูนถูกล่า เหลือประชากรน้อยมาตลอด ขนาด "สรจักร ศิริบริรักษ์" หรือ "สรจักร" นักเขียนเรื่องสั้นหักมุมผู้ล่วงลับ ตีพิมพ์รวมเรื่องสั้น "ศพใต้เตียง" ครั้งแรกในปี 2539 ก็ยังเขียนเรื่อง "เนื้อพะยูน" รวมอยู่ด้วย เล่าถึงชาวประมงรอบจัด ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวเกาะลิบง มีจ็อบพิเศษคือการ "ล่าพะยูน" ขายเนื้อให้ลูกค้าจีนและมาเลย์ที่เชื่อว่ากินแล้วเป็นยาโป๊ว ส่วนน้ำมันพะยูนเชื่อว่าใช้แก้เคล็ดขัดยอกได้ 

แม้เป็นเรื่องแต่งก็มีเค้าจริงอยู่ เพราะสาเหตุการลดลงของพะยูน นอกจากติดอวน โดนเครื่องมือประมงหรือเรือปั่นจนบาดเจ็บล้มตาย โดนรุกพื้นที่หญ้าทะเล ฯลฯ ก็ยังมีเรื่องของการแอบล่านี่แหละ เพราะความเชื่อเกี่ยวกับพะยูนเยอะเหลือเกิน เช่น เนื้อกับกระดูกใช้บำรุงร่างกาย เขี้ยวใช้ทำเครื่องราง หรือแม้แต่ "น้ำตา" ก็เชื่อกันว่าทำเสน่ห์ได้!

http://www.dnp.go.th/wildlife_it/n_web/lacegant/wildlife_reserve/image/%E0%B8%9E%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%99/dugong_bauch.jpg

ความเชื่อเรื่อง "น้ำตาพะยูน" มีมานมนานกาเล วิธีการได้มาซึ่งน้ำตาเคยได้ยินมาว่าโหดเหี้ยมมาก บ้างก็ว่าต้องไปขโมยลูกพะยูนเล็กๆ ออกมาจากอกแม่ ให้ตัวแม่ร้องไห้คิดถึงลูก บ้างก็ใช้วิธีเฆี่ยนตีทรมาน ให้พะยูนร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ จากนั้นเอาน้ำตาที่ได้ไปผสมกับน้ำว่านนั่นน้ำมันนี่ เชื่อกันว่ามีฤทธิ์เป็นเสน่ห์เหมือนน้ำมันพรายผีตายโหงก็มิปาน โดยความเชื่อนี้สะท้อนผ่านเพลงท้องถิ่นที่ร้องกันว่า 

"ตันยง ตันหยง ยงไหรละน้องยังดอกเหม พี่ไปไม่รอดเสียแล้วเน โถกเหน่น้ำตาปลาดุหยง" 

อารมณ์ประมาณ ผู้ชายเขาโอดว่าไปไหนไม่รอด เพราะถูกเสน่ห์น้ำตาปลาดุหยง หรือน้ำตาพะยูน 

ความเชื่อนี้เก่ามาก ถึงขนาดกลายเป็นเพลงท้องถิ่น ตอนแรกฉันคิดว่าปัจจุบันตำนานน้ำตาพะยูนน่าจะเป็นเพียงเรื่องเล่าร่องรอยความเชื่อ ให้เห็นวิธีคิดแบบวิญญาณนิยมของคนในสมัยก่อนเท่านั้น แต่เปล่าเลยจ้ะ!!! เพราะพอลองค้นคำว่า "น้ำตาพะยูน" "น้ำตาดุหยง" "น้ำมันดุหยง" ฯลฯ ก็พบว่าขายกันเต็มเฟสบุ๊คไปหมด แถมสรรพคุณเกินเบอร์มาก เพราะลามไปถึงการขอพงขอพรให้ค้าขายดี พกติดตัวไว้ก็เฮงๆ ร่ำรวยๆ เอาไว้ดีดใส่หญิงรักชายหลง บางเจ้าถึงขนาดโฆษณาว่ามี "การสักด้วยน้ำตาพะยูน" เสริมบารมี พร้อมบอกว่าน้ำตาฯ หายากเพราะเป็นสัตว์สงวน แต่การันตีเป็นของแท้แน่นอน!!!

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงเชื่อลงไปได้ ว่าของที่มาจากการทรมานสัตว์จะทำให้ชีวิตคนใช้เจริญ แต่ที่แน่ๆ การยังมีโฆษณางมงายขายน้ำตาสัตว์สงวน แสดงถึงความเชื่อที่ควรตายไปตามยุคสมัยแต่ดันไม่ตาย และกลายเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ เพราะต่อให้แค่อ้างว่าน้ำตาพะยูนเป็นของแท้ แต่จริงๆ เป็นน้ำมันพืช ก็เหมือนเป็นการสนับสนุนกลายๆ ให้คนฉลาดน้อยเที่ยวเสาะหามาครอบครองเพราะสรรพคุณสูง มีอุปทานย่อมมีอุปสงค์ ในที่สุดคงมีคนไปจับพะยูนเอาน้ำตากันจริงๆ บ้าง

ใครที่บอกว่าความเชื่อไม่ทำร้าย ไม่หนักหัวใคร คงไม่จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

วิฬาร์ ลิขิต
เสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ตามแต่ปากอยากจะแกว่ง เรื่องที่คนทั่วไปสนใจ หรือใครไม่สนใจแต่ฉันสนใจฉันก็จะเขียน การตีความที่เกิดขึ้นไม่ใช่ที่สุด ถ้าจุดประเด็นให้ถกเถียงได้ก็โอเค แต่ถึงจุดไม่ติดก็ไม่ซี เพราะคิดว่าสิ่งที่ค้นๆ มาเสนอ น่าจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างไม่มากก็น้อยในวาระต่างๆ จะพยายามไม่ออกชื่อด่าใครตรงๆ เพราะยังต้องผ่อนคอนโด แต่จะพยายามเสนอ Hint พร้อมไปกับสาระประวัติศาสตร์ที่คิดว่าน่าสนใจและเทียบเคียงกันได้
2Article
0Video
66Blog