ไม่พบผลการค้นหา
การศึกษาพบหลักฐานว่า เจ้าหน้าที่เบอร์ลินตะวันตก ตั้งใจให้ชายใคร่เด็กรับเลี้ยงเด็กไร้บ้าน ตามที่นักจิตวิทยาเชื่อว่าชายใคร่เด็กจะเป็นพ่อที่ดีได้ ซึ่งโครงการดังกล่าวดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 30 ปี

การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์พบว่า สำนักงานสวัสดิการเด็กของเบอร์ลินและวุฒิสภาเบอร์ลินตะวันตกมีส่วนร่วมในโครงการเคนต์เลอร์” ที่ทำการทดลองโดยตั้งใจให้เด็กไร้บ้านในเยอรมันตะวันตกไปอยู่กับชายใคร่เด็ก และยังพบว่า พ่อบุญธรรมใคร่เด็กเหล่านี้ยังได้เงินสนับสนุนอย่างสม่ำเสมออีกด้วย

โครงการเคนต์เลอร์เริ่มต้นขึ้นช่วงทศวรรษที่ 1970 ในเบอร์ลินตะวันตก โดยเฮลมุต เคนต์เลอร์ อาจารย์ด้านจิตวิทยา และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในศูนย์การวิจัยด้านการศึกษาของเบอร์ลิน เคนต์เลอร์เชื่อว่า ผู้ชายใคร่เด็กเหล่านี้จะเป็นพ่อบุญธรรมที่รักเด็กๆ และการปฏิสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ใหญ่และเด็กไม่ได้อันตราย

อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นล่าสุดของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์ไม่สามารถหาได้ว่ามีเด็กกี่คนที่ถูกส่งไปอยู่กับพ่อบุญธรรมใคร่เด็กในเบอร์ลินและเยอรมันตะวันตก แต่เน้นการค้นข้อมูลไปที่บ้านอุปการะฟริตซ์ เอช. ที่เป็นบ้านที่เหยื่อ 2 คน ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์ได้ไปค้นเอกสารและสัมภาษณ์เกี่ยวกับบ้านอุปการะฟริตซ์ เอช. และโครงการเคนต์เลอร์ และพบว่า โครงการนี้เป็น “เครือข่ายทั่วสถาบันทางการศึกษา” โดยที่สำนักงานสวัสดิการเยาวชนและวุฒิสภาเบอร์ลินตะวันตกทำเป็นมองไม่เห็น หรือแม้แต่ “ยอมรับ ส่งเสริม และปกป้อง” การให้เด็กไร้บ้านไปอยู่กับชายใคร่เด็ก 

ในรายงานของทางการเมื่อปี 2531 ระบุว่า เคนต์เลอร์ได้บันทึกรายละเอียดว่า “การทดลอง” ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง โดยเริ่มแรกในปี 2512 เด็กไร้บ้านได้ถูกส่งไปให้ “ผู้ดูแล” ที่เป็นพวกใคร่เด็กและกล่าวหาภาคภูมิใจว่า เขา “ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีส่วนรับผิดชอบ” แต่เด็กผู้ชายที่อ่อนแอจะไม่ถูกส่งไปให้ชายใคร่เด็กเลี้ยง

รายงานของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์ระบุว่า หลักฐานที่รวบรวมได้ในขณะนี้แสดงให้เป็นว่า ผู้รับเลี้ยงเป็นผู้ชายที่อยู่คนเดียว และมักเป็นผู้ที่มีอิทธิพลหรือมีชื่อเสียงด้านวิชาการ อยู่ในองค์กรด้านการวิจัย และสถาบันการศึกษาต่างๆ

นอกจากนี้ เคนต์เลอร์เองก็มักมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ และพ่อบุญธรรมเหล่านี้เป็นประจำ โดยที่เคนต์เลอร์ไม่เคยถูกฟ้องร้องดำเนินคดี จนเสียชีวิตไปแล้วในปี 2551 

เมื่อปี 2016 เคยมีการเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับ “การทดลองเคนต์เลอร์” โดยมหาวิทยาลัยเกิททิงเงิน ซึ่งระบุว่า วุฒิสภาเบอร์ลินดูเหมือนไม่มีความสนใจในการตามหาความจริงเกี่ยวกับการทดลองนี้ แต่ทางการเบอร์ลินในปัจจุบันประกาศว่าจะสอบสวนเนื่องนี้อย่างละเอียด 

ขณะที่ซานดรา เชียเรส วุฒิสมาชิกด้านเยาวชนและเด็กของเบอร์ลิน กล่าวว่า รายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์ “น่าตกใจและน่ากลัว” แต่คดีหมดอายุความแล้ว แต่จะพยายามให้เหยื่อได้รับเงินชดเชยใดๆ 

“ชีวิตเราถูกทำลาย”

มาร์โค ผู้ชายวัย 40 ปี เปิดเผยว่า เขาเป็นหนึ่งในเหยื่อของโครงการเคนต์เลอร์ แม้ดูภายนอกแล้วคนอาจดูไม่ออกว่าเขามีประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด เขากล่าวว่า “ชีวิตของพวกเขาถูกทำลาย” เมื่อเขาอายุ 9 ปี เขาถูกส่งไปอยู่กับฟริตซ์ พ่อบุญธรรมที่เป็นชายใคร่เด็ก ซึ่งล่วงละเมิดทางเพศเขาเป็นเวลาหลายปี โดยทางการเบอร์ลินที่ผู้จัดสรรสวัสดิการเยาวชน ไม่สนใจหลักฐานการล่วงละเมิดทางเพศและยังยอมรับให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป

สเวน ชายที่เติบโตมาจากพ่อบุญธรรมคนเดียวกัน กล่าวว่า เขาไม่มีวันก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ เพราะความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้เขาและมาร์โครู้สึกเจ็บปวด และมีชีวิตที่บากลำบากในเวลาต่อมา โดยทั้งคู่ยังต้องพึ่งเงินสวัสดิการจากรัฐอยู่ แต่พวกเขาก็ยังต้องการต่อสู้ให้คนที่มีส่วนรับผิดชอบเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้จะไม่รวมพ่อบุญธรรมของพวกเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2015

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์ได้ค้นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ “บ้านอุปการะฟริตซ์ เอช.” ที่ลำนักงานสวัสดิการเยาวชนเบอร์ลินส่งมาร์โค สเวน และเป็นผู้ชายอีก 8 คนมาอยู่ตั้งแต่ปี 2516 - 2546

การละเมิดที่แฝงมากับความก้าวหน้าทางเพศ

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ชาวเยอรมันรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามแนวคิดและประเพณีที่สืบเนื่องมาจากช่วงนาซีเยอรมันปกครองประเทศ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมและศีลธรรมต่างๆ หลายคนมองว่าควรจะมีการปลดปล่อยเสรีภาพทางสังคม สิ่งที่เคยเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเรื่องเพศก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

คนในบางวงการมองว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กไม่ใช่เรื่องต้องห้าม แต่เป็นเรื่องที่ก้าวหน้า โดยหนึ่งในคนสำคัญที่กลายมาเป็นคนจับคู่ชายใคร่เด็กกับเด็กไร้บ้านคือ เฮลมุต เคนต์เลอร์ แต่ที่ผ่านมา เขาถูกมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเพศที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเยอรมนี เขาไปพูดในรายการวิทยุและโทรทัศน์มากมาย โดยเขามีทฤษฎีว่าเด็กก็มีชีวิตทางกามารมณ์และมีสิทธิที่จะแสดงออกทางเพศ

เคนต์เลอร์เชื่อว่า “การปลดปล่อยกามารมณ์ทางเพศของเด็ก” จากการเข้มงวดทางศีลธรรมที่กดขี่จะช่วยปลดปล่อยพลัง และจะนำไปสู่การประท้วงทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงสู่ระยอยประชาธิปไตยที่แท้จริงของสังคมเยอรมนี 

ในช่วงหลายสิบปีก่อน พรรคกรีนของเยอรมนีเคยพิจารณาเรื่องการเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องลงโทษผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศกับเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี และพรรคกรีนในรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลียเคยยอมให้มีการผลักดันการอนุญาตการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก หากเป็นการมีเพศสัมพันธ์แบบ “สมยอม”

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮิลเดสไฮม์พบว่า พ่อบุญธรรมใคร่เด็กหลายคนเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีเครือข่ายในวงการวิชาการ เช่น สมาชิกระดับสูงของสถาบันมักซ์พลังค์ มหาวิทยาลัยฟรีของเบอร์ลิน และโรงเรียนโอเดนวัลด์ในเฮสเซอ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนประจำที่ถือว่า “ก้าวหน้า” ที่สุดในเยอรมันตะวันตก และกลายมาเป็นศูนย์กลางข่าวฉาวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศเด็กอย่างเป็นระบบ โดยมีเด็กมากถึง 900 คนที่เป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศในช่วงปี 2509 - 2532 ซึ่งสำนักงานสัวสดิการเยาวชนของเยอร์ลินมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่ง “เด็กมีปัญหา” ไปถูกล่วงละเมิดอย่างเป็นระบบ

 

ที่มา : Deutsche Welle, RT