ไม่พบผลการค้นหา
อดีตหัวหน้า ปชป.ชง 9 ข้อในวิกฤตโควิด-19 แนะฝ่ายเศรษฐกิจ-สธ.ทำงานใกล้ชิด ชี้สถานการณ์ในไทยยังไม่เลวร้ายเท่าจีน-โลกตะวันตก เร่งจัดหาชุดตรวจโควิด-19 สุ่มตรวจประชากรกว้างขวาง แยกตัวผู้ติดเชื้อเคร่งครัดป้องกันการระบาดรอบสอง แนะปรับลดงบฯ ในปี 2563 ช่วงที่เหลือโดยออกกฎหมายโอนงบฯ มาแก้วิกฤต

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊กว่า เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อนและความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังมีจำกัด เช่น ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ชัดเจนทั้งหมดเกี่ยวกับหนทางการติดต่อของโรค คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัย หรือความเป็นไปได้ที่บุคคลสามารถติดเชื้อซ้ำ ทุกฝ่ายจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจความยากลำบากของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ตนจึงหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาธารณะต่อมาตรการต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว และดูจะตั้งหลักได้ทั้งในการกำหนดมาตรการต่างๆ รวมถึงการสื่อสารที่เป็นเอกภาพมากขึ้น ตนจึงขอถ่ายทอดความคิดในประเด็นหลักๆ ในภาพรวมดังนี้

1. เราต้องไม่มองการบริหารสถานการณ์นี้เหมือนเป็นทางเลือกระหว่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข เพราะแท้ที่จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ในขณะนี้ เนื่องจากตราบใดที่ปัญหาด้านสาธารณสุขไม่คลี่คลายไปอย่างชัดเจน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติเพราะผลกระทบต่อฝ่ายต่าง ๆ และการขาดความเชื่อมั่น จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ได้ ในทางกลับกันหากไม่มีมาตรการทางด้านเศรษฐกิจรองรับที่ดีพอปัญหาด้านสาธารณสุขก็จะจัดการไม่ได้เพราะความจำเป็นของผู้คนที่จะอยู่รอดทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ หรือการหยุดการเคลื่อนย้ายเพื่อจัดระยะห่างทางสังคมก็จะไม่ประสบความสำเร็จ การทำงานของทั้งฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายสาธารณสุขจึงต้องประสานกันอย่างใกล้ชิดโดยมีเป้าหมายเดียว คือ การสร้าง “สุขภาวะ” ให้กับสังคมและประชาชน

2. สถานการณ์ของไทยในขณะนี้คล้าย ๆ กับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนคือไม่เลวร้ายเท่ากับจีนเมื่อต้นปีหรือโลกตะวันตกในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมการดำรงชีวิตหรือแม้แต่สภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันเราก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการติดเชื้อที่เติบโตขึ้นประมาณวันละร้อยกว่าคนได้ ซึ่งหากดำเนินต่อไปแรงกดดันที่มีต่อระบบสาธารณสุขจะทำให้เกิดความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าสู่สภาวะที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ นอกจากนี้มีข้อเท็จจริงที่เราต้องตระหนักคือจำนวนคนที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ในไทยถือว่าน้อยมากและยังมียอดสะสมจำนวนที่รอผลการตรวจมากพอสมควร นอกจากนี้การที่เราเลือกตรวจเฉพาะผู้ที่มีอาการบ่งบอกว่าเราน่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการและไม่ถูกยืนยันเป็นผู้ติดเชื้อประมาณสี่เท่าของจำนวนที่รายงานในปัจจุบันซึ่งคนเหล่านี้สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้

3. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาตรการจัดระยะห่างทางสังคม จึงยังต้องดำเนินต่อไปและด้วยความเข้มงวดกวดขันมากขึ้น ขณะที่การลงทุนที่เร่งด่วนที่สุดคือความพร้อมของระบบสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็นการเตรียมห้องดูแลผู้ป่วยหนัก เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เวชภัณฑ์ สถานที่กักกันสำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงหรือผู้ที่ต้องได้รับการเฝ้าดูอาการ บุคลากรและอาสาสมัครที่สามารถสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ โดยการยกเว้นภาษี เร่งรัดขั้นตอนการนำเข้าและการอนุญาตหรือแม้แต่สร้างมาตรการจูงใจให้เกิดการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น

4. ที่เร่งด่วนที่สุดคือการจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ให้มากพอที่จะนำไปสู่การสุ่มตรวจประชากรที่ไม่มีอาการได้อย่างกว้างขวาง เพราะแม้มาตรการทางสังคมจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้ว การจะให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลับไปสู่ภาวะปกติจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจอย่างกว้างขวางเพื่อนำไปสู่การแยกตัวของผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะเกิดการระบาดรอบสองตามมาเหมือนกับที่เริ่มมีปัญหาแล้วในบางประเทศ จนถึงปัจจุบันความขาดแคลนของชุดตรวจเป็นที่ปรากฏชัดซึ่งต้องเร่งแก้ไข

5. รัฐบาลต้องทุ่มกำลังทางด้านงบประมาณไปสู่การช่วยเหลือให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถที่จะอยู่รอดได้ทางเศรษฐกิจ มาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันต้องให้มั่นใจว่าเกิดความครอบคลุม รัฐบาลน่าจะเริ่มปรับระบบการช่วยเหลือทั้งหมดเข้าสู่หลักการการประกันรายได้ให้คนไทยทุกคนเพื่อให้การสนับสนุนของรัฐบาลนั้นไม่ลักลั่น ตกหล่น หรือซ้ำซ้อน มาตรการเหล่านี้นอกเหนือจากจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนแล้วยังต้องมีเป้าหมายในการช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอื่น ๆ เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้

6. สำหรับแหล่งเงินที่จะต้องใช้นั้น ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลไทย มีความเข้มแข็งเพียงพอจึงควรเร่งการสร้างความมั่นใจด้วยการแสดงแหล่งที่มาของเงินเริ่มต้นจากการปรับลดงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ทั้งหมดที่ไม่สามารถใช้ได้ตามปกติในช่วงหกเดือนที่เหลือ แล้วออกกฎหมายโอนมาเป็นงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตโควิด-19 เป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากจะได้เงินหลายแสนล้านบาทจากตรงนี้แล้วยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนมองเห็นว่าทุกกระทรวงและหน่วยราชการตระหนักถึงความจำเป็นในการบริหารเงินในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี หากจำนวนเงินไม่พอจึงจะใช้วิธีการกู้เงินเพิ่มซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้มากพอสมควร

7. การดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณและการกู้เงินนั้นหากนายกรัฐมนตรีจะเชิญผู้นำฝ่ายค้านปรึกษาหารือเป็นพิเศษและสามารถนำไปสู่ความร่วมมือของรัฐบาลและฝ่ายค้านในการอนุมัติเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากจะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาแล้วยังจะช่วยให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบการเมืองการบริหารของประเทศมากขึ้น

8. ในการดำเนินการของรัฐบาลในทุกเรื่องในช่วงนี้แม้จะมีอำนาจพิเศษ แต่ต้องไม่ปิดกั้นการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน ควรทำทุกเรื่องอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส

9. เมื่อวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป กลไกและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนคงไม่กลับไปเหมือนเดิม รัฐบาลควรจัดให้มีการศึกษาถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ประเทศไทยและคนไทยต่อไป

"ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่ต้องเสียสละและเผชิญความเสี่ยงเพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้ และหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจเพื่อให้ประเทศของเราฝันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้" นายอภิสิทธิ์ ระบุ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง