ไม่พบผลการค้นหา
ประธาน นปช. ยกอดีตการยุบพรรคการเมือง ชี้ไม่ทำให้ทุกอย่างจบลง ส่งต่อรอยร้าวมากขึ้น เชื่อคนมองรัฐบาลในเเง่ลบ หากศาลรัฐธรรมนูญยุบ 'อนาคตใหม่'

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวในรายการหยิบข่าวมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวีประจำวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ปมเงินกู้ 191 ล้านบาทในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ว่า มีบทเรียนหลายกรณีในช่วงที่ตนเป็น ส.ส.ถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 พรรค คือ พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ซึ่งการรวบรัดที่ไม่ต้องนำสืบพยานเพิ่มเห็นจากกรณีการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมา ส่วนกรณีพรรคไทยรักไทยก่อนหน้านี้ก็มีการต่อสู้กันมากขึ้นแต่ผลลัพธ์เดียวกัน 

ดังนั้นการที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ โดยศาลเห็นว่าตามคำร้องของผู้ร้องและคำชี้แจงของผู้ถูกร้อง พอจะวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นจะต้องไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาให้พยานบุคคลทั้ง 17 ปากบันทึก ถ้อยคำเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ แต่สิ่งที่ทุกคนคิดต่อเรื่องนี้คือ วันที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า คือ วันที่ 24 และขยายได้ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ดังนั้นวันที่ 21 กุมภาพันธ์เพียงแค่ 3 วันก่อนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หากมองในตรรกะของมนุษย์ทั่วไปในทางที่เป็นคุณ สามารถนัดอ่านคำวินิจฉัย หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล   

แต่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ตนเชื่อว่าคนจะมองในเเง่ลบมากกว่าในแง่บวก ดังนั้นในทางการเมือง จะต้องคิดในแง่ร้ายไว้ก่อน แต่หากถามว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่จะส่งผลอะไรบ้างนั้น ในทางปฏิบัติหากมีการยุบจริง กรรมการบริหารพรรคก็จะสิ้นสภาพไปโดยปริยาย ส่วนการตัดสิทธิทางการเมืองจะกี่ปีนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ส่วนตัวเห็นว่าบ้านเมืองนี้ไม่ควรมีการยุบพรรคการเมือง อีกทั้งประวัติศาสตร์ได้อธิบายชัดเจนว่า การยุบพรรคการเมืองไม่สามารถทำลายจิตวิญญาณของนักการเมืองนั้นๆได้ เพียงแต่จะทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ ก็จะอยู่ในฐานะที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเหมือนกับตน   

อย่างไรก็ตามการยุบพรรคการเมืองไม่ได้ทำให้ทุกอย่างจบลง แต่จะเพาะรอยร้าวให้เกิดมากยิ่งขึ้น

คำวินิจฉัยในวันที่ 21 กุมภาพันธ์จะออกมาอย่างไรก็ตามตนมองว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่จะบ่มเพาะความขัดแย้ง ที่เป็นความร้าวลึก

กว่า 10 ปีมานี้ความขัดแย้งที่เราเรียกว่า ความขัดแย้งระหว่างเหลืองแดงนั้นตนมองว่า ทุเล่าลงไปมาก แต่ความขัดแย้งใหม่กำลังจะเข้ามาแทน เพราะความขัดแย้งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือความขัดแย้งเก่าที่กำลังจะจางลง จะเข้าไปร่วมกับความขัดแย้งใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดคือเรากำลังสร้างสังคมสันติสุข หรือให้ความขัดแย้งดำรงอยู่ต่อไป วันนี้เราพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งเพราะในสถานการณ์บ้านเมืองที่จมปลักอยู่กับความขัดแย้ง บวกกับรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมา 5 ปี จนกระทั่งได้ประชาธิปไตยมาครึ่งใบก็เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้