รายงานด้านสิทธิมนุษยชนของประจำปี 2020 หรือ World Report 2020 ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ HRW เมื่อ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นการสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก อ้างอิงเหตุการณ์และข้อมูลที่รวบรวมตลอดทั้งปี 2019 ที่ผ่านมา โดย 'เคนเนธ รอธ' ผู้อำนวยการ HRW ได้แสดงความกังวลต่ออิทธิพลของรัฐบาลจีนที่มีต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในหลายประเทศทั่วโลก โดยระบุว่าจีนสนับสนุนรัฐบาลที่มีแนวคิดอำนาจนิยมและประชานิยมหลายแห่ง
รอธ ยังระบุด้วยว่าหน่วยงานภาครัฐจีนใช้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจในการแทรกแซงหรือสกัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อการเคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ประชาคมโลกร่วมกันส่งเสริมมาตลอดหลายทศวรรษ และอาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนโดยรวมในอนาคตอีกด้วย
ส่วน The Guardian รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีน ระบุว่า เนื้อหาในรายงานของ HRW บิดเบือน ไม่เป็นความจริง และก่อนหน้านี้รอธยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปสังเกตการณ์สถานการณ์ประท้วงในฮ่องกง เขตบริหารพิเศษจีน ซึ่ง 'เกิงฉวง' โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ย้ำว่า จีนมีอำนาจอธิปไตยอเต็มที่ในการจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในประเทศ
นอกจากนี้ HRW ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์ของแต่ละประเทศ รวมถึงไทย ซึ่งเนื้อหาในรายงานบ่งชี้ว่า ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ เพราะแม้จะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่เมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว แต่รัฐบาลทหารยังคง 'ยื้ออำนาจ' และวางเงื่อนไขทิ้งเอาไว้หลายประการ ทำให้คณะทหารที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร 'รอดพ้นจากบทลงโทษ' ด้านการละเมิดสิทธิต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา และไม่มีกระบวนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิ ตอกย้ำวัฒนธรรมการปล่อยให้ผู้กระทำผิด 'ลอยนวล'
รายงานของ HRW ยังระบุว่ารัฐบาลไทยยังไม่เคารพในประเด็นสิทธิมนุษยชน 'เหมือนเดิม' เห็นได้จากประเด็นด้านสิทธิและเสรีภาพที่ยังไม่คืบหน้า โดยเฉพาะสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แม้แต่สื่อมวลชนที่ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการรายงานข่าวและตั้งประเด็นทางสังคมก็ยังถูกกดดันและแทรกแซงให้เซ็นเซอร์ตัวเอง โดยในรายงานได้ยกตัวอย่างกรณีคลื่น FM 101 สั่งถอด 'เฉลิมชัย ยอดมาลัย' ผู้ดำเนินรายการ 101 ประเด็นข่าว หลังจากวิจารณ์การซื้ออาวุธและหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เมื่อเดือน ก.ย.2019
ส่วน 'อรวรรณ ชูดี' ถูกบริษัท อสมท สั่งให้ยุติบทบาทพิธีกรในรายการ 'ศึกเลือกตั้ง 62' หลังจากที่เธอตั้งคำถามเชิงวิพากษ์รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่ 'วอยซ์ ทีวี' ถูก กสทช.สั่งระงับการออกอากาศเป็นเวลานาน 15 วัน โดยระบุว่าวอยซ์ทีวีให้พื้นที่สื่อแก่ผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร และไม่กี่วันก่อนถึงช่วงเลือกตั้ง สื่อต่างประเทศอย่างซีเอ็นเอ็น, อัลจาซีรา และบีบีซี ซึ่งเกาะติดรายงานข่าวการเลือกตั้งไทย กลับหายไปจากหน้าจอของช่องเคเบิลทีวี TrueVisions ระยะหนึ่ง
เดือน ต.ค. 'คริส แจนเซน' นักข่าวเบลเยี่ยม ถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกักตัวนานหลายชั่วโมง หลังจากที่เขาชี้แจงว่าต้องการเข้ามาเก็บข้อมูลเรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารไทย
ขณะเดียวกัน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองราว 130 คน ยังถูกตั้งข้อหา-ออกหมายเรียก ว่าเป็นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เพราะออกมารวมกันรณรงค์เรียกร้องการเลือกตั้ง ทั้งยังมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแนวคิดสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างน้อย 3 ราย ถูกกลุ่มคนบุกทำร้ายร่างกาย แต่กลับไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
เช่นเดียวกับกรณีผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยในต่างประเทศหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ แต่มีการพบศพ 'บิลลี่' หรือ 'พอละจี รักจงเจริญ' แกนนำกลุ่มกะเหรี่ยงในแก่งกระจานที่หายตัวไปตั้งแต่ เม.ย.2557 และผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับตายของบิลลี่ คือ เจ้าหน้าที่ด้านอนุรักษ์ป่าไม้ที่พบบิลลี่เป็นคนสุดท้ายก่อนหายตัว
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงกรณี 'ชัยภูมิ ป่าแส' นักกิจกรรมชาวลาหู่ซึ่งถูกทหารยิงวิสามัญฆาตกรรมที่ จ.เชียงใหม่เมื่อปี 2560 แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดเผยเทปบันทึกจากกล้องวงจรปิดในการสืบพยานชั้นศาล แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงรายหนึ่งจะเคยกล่าวว่าชัยภูมิถูกยิงเพราะขัดขืนเจ้าหน้าที่และมีระเบิดในครอบครอง
ประเด็นที่น่าวิตกกังวลอีกประการ คือ เหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่ช่วงเดือนรอมฎอน ทั้งยังมีเหตุระเบิดหรือลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหลายครั้ง