ไม่พบผลการค้นหา
ผู้จัดงาน #วิ่งไล่ลุง ถึงกับต้องหยุดรับสมัครนักวิ่งจากทั่วประเทศไว้พลางก่อน หลังยอดสมัครทะลุ 8,000 คน โดยเป็นยอดสมัครหลังประกาศเปิดแคมเปญเพียงหนึ่งวันเท่านั้น!!

ในวันแถลงข่าว พวกเขาพูดถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 

หนึ่ง คือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทวงสัญญาที่รัฐบาลได้เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียง โดยเฉพาะปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

หนึ่ง คือแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และปลดล็อกสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี 

หนึ่ง คือขอให้หยุดใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องและหยุดรังแกผู้ที่เห็นต่าง ซึ่งข้อ 2-3 ขอให้รัฐบาลดำเนินการทำทันที โดยไม่มีการรีรอ 

“หากรัฐบาลไม่ดำเนินการ ทางกลุ่มจะยกระดับกิจกรรมให้มากกว่าการวิ่ง” 

เมื่อพูดถึงกิจกรรมที่มากกว่าการวิ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลังของคน #ไม่ถอยไม่ทน ที่ลานสกายวอล์ค ถือว่าเกินคาดคิด และเป็นพลังที่กดดันผู้มีอำนาจให้ต้องปรับท่าทีหลังจากนี้ เพราะแสดงให้เห็นว่า ผู้คนในโลกออนไลน์พร้อมออกมามีส่วนร่วมทางการเมือง!! 

เหมือนที่ธนาธร ปราศรัยด้วยประโยคว่า 

“ถ้าไม่ลงถนนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เพราะมีคนเยอะเกินไป… เดือนหน้าได้ลงถนนแน่ ๆ ไม่ต้องรีบร้อน ซ้อมวิ่งได้เลย”

“บอกคุณประยุทธ์ อย่าเพิ่งกลัว... วันนี้แค่ชิมลาง ของจริงเดือนหน้า”

จาก #ไม่ถอยไม่ทน ที่สกายวอล์ค ถึงการปิดรับสมัคร #นักวิ่งไล่ลุง ในรอบแรก และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมีการเปิดรับสมัครในรอบสอง แสดงให้เห็นถึงความไม่พึงพอใจต่อผู้มีอำนาจที่เพิ่มสูงขึ้น 

โพลล์ของนิด้าโพลล์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของรัฐบาลประยุทธ์ไว้หลายประการ 

เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อ 6 เดือนของรัฐบาลประยุทธ์ ก็พบว่า 

“ร้อยละ 33.72 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯ ได้ไม่ดีเลย เพราะ การบริหารงานประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คืบหน้า แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ บริหารประเทศไม่ดีทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ไม่ได้ใส่ใจประชาชนเท่าที่ควร ยังไม่โปร่งใสพอ ไม่มีความเป็นธรรม และช่วยเหลือแต่พวกของตัวเอง” 

เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ พี่น้องประชาชนสัมผัสได้ชัดเจน จนกลายเป็นแคมเปญที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจใช้เป็นเส้นเรื่องหลักในการหาเสียงที่ จ.ขอนแก่น ผ่านคำขวัญทำนอง “เลือกธนิก ไปทวงสัญญาจากรัฐบาล” 

แต่ที่เป็นประเด็นอย่างต่อเนื่องและเป็นพลังเร่งเร้าให้ผู้คนออกไป #ไม่ถอยไม่ทน ที่สกายวอล์ค นั่นคือ “ไม่มีความเป็นธรรม และช่วยเหลือแต่พวกของตัวเอง” สะท้อนผ่านความพยายามในการกำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวเองครองอำนาจได้ยาวนาน 

หนึ่ง คือกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยให้สมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลง

กกต. รับลูกต่อทันทีที่จะดำเนินการตามมาตรา 151 ที่ระบุว่า “ผู้สมัครรับเลือกตั้งรู้ตัวว่า ไม่มีสิทธิแล้วยังสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี”

หนึ่ง คือ กกต. ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีกู้เงิน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท  

คดีนี้มีแนวโน้มจะลากยาวถึงการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ในที่สุด อาจจะ 5 หรือ 10 ปี อยู่ที่ศาลจะตัดสิน

หลัง #ไม่ถอยไม่ทน ที่สกายวอล์ค แทนที่ผู้มีอำนาจ จะเปลี่ยนท่าที ซึ่งอาจทำให้ นักวิ่งไล่ลุง มีจำนวนลดน้อยลง ในทางตรงกันข้าม กลับเร่งจุดชนวน-สุมไฟ กระตุ้นเร้าความไม่พอใจให้กับประชาชน 

ไม่ว่าจะเป็นเร่งดำเนินคดี กับ ธนาธร และพวก ผ่านการฟ้องร้อง 1.การชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.การชุมนุมในลักษณะกีดขวางการใช้บริการสาธารณะ 3.ผู้จัดการชุมนุมไม่ควบคุมผู้มาร่วมชุมนุม ทำให้เกิดความไม่สะดวกต่อผู้ใช้ทางสาธารณะ ไปจนถึง ม.116 ที่รอพิจารณา 

ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้อง “สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย” ในความผิดฐานจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจกดดดันเจ้าของสถานที่จนทีมผู้จัดงานวิ่งไล่ลุงต้องเปลี่ยนสถานที่แถลงข่าวถึงสองหน 

ไม่ว่าจะเป็นการส่งโทรโข่งฝ่ายขวาออกมาสุมไฟต่อเนื่อง เช่นกรณี “ทยา ทีปสุวรรณ” กปปส.เก่า ที่โพสต์ว่า “อยากจะสื่อไปยังกลุ่มน้องๆ เยาวชน และคนที่กำลังคิดจะไปร่วมกิจกรรมวันนี้ ถามตัวเองก่อนว่าทำเพื่ออะไร อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร อยากให้คิดตึกตรอง หาข้อมูลกันให้รอบคอบว่า กลุ่มใดกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากการเดินขบวนนี้?

ใครที่เห็นด้วยกับข้อความนี้ ฝากแชร์นะคะ เผื่อจะสื่อสารไปถึงกลุ่มเยาวชนได้บ้าง” 

สถานการณ์ในวันนี้ บีบให้ผู้มีอำนาจต้องปรับท่าที โดยเฉพาะท่าทีแบบมุ่งกำจัดศัตรูทางการเมือง เพราะอนาคตใหม่ประกาศแล้วว่า “หนังม้วนเก่ากำลังฉายซ้ำ แต่ตอนจบจะไม่เหมือนเดิม"

เหมือนที่ปิยบุตร บอกเล่ากับ “ประชาชาติ”

“ฉากจบที่ผู้กำกับเรื่องนี้วางไว้คือ ไม่ให้มีพรรคอนาคตใหม่ ไม่ให้ผม ธนาธร เข้าไปมีบทบาททางการเมืองในสภา พล็อตของเขาที่วางนั้น วางภายใต้ความคิดความเชื่อว่าไม่มีธนาธร ไม่มีปิยบุตร ไม่มีอนาคตใหม่แล้วเขาจะสบายขึ้น แต่ประเมินต่ำเกินไปว่าผมจะกลับไปสอนหนังสือ ไปอยู่ต่างประเทศกับภรรยา ส่วนธนาธรจะกลับไปปีนเขา หรือพวกที่อยู่ในพรรคนี้แตกไปหมด ผมคิดว่าประเมินผิด”

“เพราะสุดท้ายเราไม่ได้คิดว่าต้องเป็น ส.ส. ไม่ให้ผมเป็นก็ไม่เป็น ไม่ให้ทำการเมืองในสภาก็ไม่เป็นไร ผมสามารถรณรงค์ได้ทั่วประเทศ”

“ส่วนพรรคอนาคตใหม่จะจบแบบไหน…. ยังไม่ทราบ ผมกับ ธนาธร มีแต่ความปรารถนาดี เรามองสถานการณ์ยาวๆ ว่า เป็นไปได้อย่างไร 2562 การเมืองถอยกลับไป 2521 ถ้าเราอยากเปลี่ยนให้มันดี มันผิดตรงไหนถ้าใช้หนังม้วนเดิมฉายต่อก็ไม่เป็นไร อำนาจในการกำกับหนังเรื่องนี้อยู่ที่ผู้มีอำนาจ ผมทำได้อย่างเดียวคือ ทำให้การเดินเรื่องหนังเรื่องนี้เดินไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ”

ถ้าผู้มีอำนาจไม่ปรับท่าที โปรดดูยอดสมัครวิ่งไล่ลุงในรอบสอง!!

วยาส
24Article
0Video
63Blog