ไม่พบผลการค้นหา
อาลีบาบา ทุบยอดขายทะลุ 1.16 ล้านล้านบาท ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากแพลตฟอร์มที่หลากหลายและการลงทุนในบริษัทขนส่งสินค้า

'อาลีบาบา' ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนเปิดบ้านทำลายสถิติยอดขายรวมในเทศกาลลดราคาสินค้าเนื่องในวันคนโสดวันที่ 11 เดือน 11 อีกครั้งหนึ่ง หลังปิดยอดขาย 24 ชั่วโมงด้วยมูลค่าถึง 38,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากยอดเดิมในปี 2561 ถึงร้อยละ 26 ที่มียอดการขายอยู่ที่ 30,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 9.2 แสนล้านบาท

ยอดขายดังกล่าวของ 'อาลีบาบา' แซงหน้ายอดทุกเทศกาลลดราคาทั้งใน 'อีเบย์’ 'ทาร์เก็ต’ 'วอลมาร์ต’ ในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือแม้แต่งาน 'ไพรม์เดย์’ ของแอมะซอนที่กินเวลาถึง 2 วันเต็มด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ หากนำตัวเลขมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของแต่ละประเทศในปี 2561 ตามการจัดอันดับของธนาคารโลก ยอดขายสินค้าลดราคาวันเดียวของ 'อาลีบาบา’ จะขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 99 จากทั้งหมด 205 ประเทศ และมีมูลค่ามากกว่าจีดีพีของประเทศกัมพูชาที่อยู่ที่ระดับ 24,572 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.4 แสนล้ายบาท

อยู่เหนือทุกความกังวล

ก่อนถึงเทศกาลลดราคาในปีนี้ นักวิเคราะห์หลายคนออกมาคาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดขายของอาลีบาบาว่าจะไม่ดีนัก เนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวรวมถึงประเด็นสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ที่บริษัทจัดเตรียมไว้รับมือ ทั้งการจัดเตรียมเว็บไซต์และแพลตฟอร์มหลากหลายในหลายประเทศทั่วโลก ทั้ง 'อาลีเอ็กเพรส’ ที่ขายทั้งสินค้าแบรนด์จีนและแบรนด์ต่างประเทศ ‘เถาเป่า’ ที่ขายสินค้าจีนเป็นหลัก หรือ ‘ลาซาด้า’ แพลตฟอร์มในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 500 ล้านคน

ขณะที่อีกปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จในครั้งนี้ ถูกมองว่ามาจากการหันไปลงทุนเพิ่มในระบบขนส่งของอาลีบาบา ที่ทุ่มเงินกว่า 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาทไปกับ 'ไช่เหนี่ยว’ บริษัทขนส่งในเครืออาลีบาบา

ด้านสงครามการค้าก็ดูจะไม่ได้มีอิทธิพลเหนือความต้องการของชาวจีนได้ เนื่องจากสหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่ขายสินค้าให้กับชาวจีนได้มากที่สุดเป็นอันดับที่สองจากยอดขายรวม

‘เจคอบ ครู๊ก’ ซีอีโอของ WPIC บริษัทด้านการตลาดและอีคอมเมิร์ซกล่าวว่า สินค้าที่สหรัฐฯนิยมขายให้จีนคือเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งมีการเติบโตที่ดีตั้งแต่ปีที่แล้ว พร้อมย้ำว่าทิศทางการเติบโตยังดีอยู่ เช่นเดียวกับความรู้สึกต่อแบรนด์อเมริกันของชาวจีน

แม้จะยังไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการออกมาบอกว่าแบรนด์ไหนขายได้มากที่สุดในเทศกาลลดราคาครั้งนี้ แต่สำหรับยอดการสั่งจองก่อนหน้าวันงานแชมป์ตกเป็นของ เอสเต ลอเดอร์ ด้วยยอดจองกว่า 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,300 ล้านบาท ขณะที่ยอดการจองไอโฟน11 อยู่ที่มูลค่า 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 420 ล้านบาท

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาลีบาบาครั้งนี้นอกจากจะสะท้อนความสำเร็จของการทำการตลาดที่อยู่เหนือทั้งปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและปัจจัยบั่นทอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นตัวอย่างการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชนและกระจายรายได้ที่ประสบความสำเร็จ เพราะทำให้เกิดการใช้จ่ายจริง และยังเป็นการใช้จ่ายที่ไปถึงกลุ่มผู้ขายสินค้ารายย่อยของจีนจริงๆ ไม่ใช่แค่ผู้ค้ารายใหญ่เท่านั้น

อ้างอิง; CNBC, CNN, TC, Business Insider

ข่าวที่เกี่ยวข้อง;